8516 จำนวนผู้เข้าชม |
1. In-store location : พื้นที่วางสินค้า ภายในร้าน อยู่ในตำแหน่งโดดเด่น มองเห็นได้ง่าย
พื้นที่ในร้านค้า เป็นหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้สินค้าเราเตะตา ให้เราลองจินตนาการว่า หากเราเป็นลูกค้า เดินเข้าไปในร้านค้าแล้วนั้น ลองมองดูว่า จุดไหนที่คนจะมองเห็นเยอะที่สุด ตัวอย่างเช่น หัวชั้นหน้าร้าน ที่ทุกคนจะต้องเดินผ่าน เราสามารถวาง เชลฟ์ สแตนดี (Standee) แรค (Rack) หรือชั้นโชว์สินค้า ประเภทวางพื้น (Shelf Display) ข้างๆหัวชั้นนี้ได้ไหม? / บริเวณโต๊ะแคชเชียร์ ที่ทุกคนจะต้องมาชำระเงินค่าสินค้า เราสามารถวางชั้นโชว์สินค้าประเภท เคาน์เตอร์ดิสเพลย์ หรือ เคาน์เตอร์ยูนิต (Counter Display, Counter Unit) แคชเชียร์ยูนิต แคชเชียร์แรค (Cashier Display, Cashier Unit) / บริเวณชั้นหลัก Main shelf ในกลุ่มประเภทสินค้าที่ใกล้เคียงกับเรา เราสามาะทำสายแขวน (Hanging) ไปแขวนสินค้าเราข้างๆ ได้หรือไม่ เป็นต้น
2. Brand Communication : ชั้นโชว์สินค้า ออกแบบสวยงาม และสื่อสารแบรนด์สินค้าได้ดี
เช่น มีการใช้สีของแบรนด์เป็นองค์ประกอบหลักของชั้นวางสินค้านี้ มีการใส่โลโก้ หรืออาร์ทเวิร์คที่เป็น Key Visual หลักของแบรนด์ที่เรากำลังทำการโฆษณาในสื่ออื่นๆอยู่ด้วย มีการสื่อสารราคาและโปรโมชันที่ชัดเจน มีตัวอย่างเทสเตอร์ให้ลูกค้าได้ทดสอบ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น สินค้าประเภทอาหารเสริม อาจใช้ชั้นโชว์สินค้าประเภท เคาน์เตอร์ดิสเพลย์ (Counter Display, Counter Unit) บริเวณหัวป้ายด้านบนสื่อสารด้วยโลโก้ พรีเซนเตอร์ของแบรนด์ บ่งบอกถึงสารอาหาร วิตามินคุณประโยชน์ต่างๆ ไว้อย่างครบ เมื่อลูกค้าเห็นสินค้าอยู่บนชั้นวางสินค้าที่สวยงาม ข้อมูลครบ ก็เกิดความสนใจเข้ามาอ่าน และศึกษา อันจะนำไปสู่การข่ายที่ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลที่สื่อสารแบรนด์สินค้าได้อย่างครบถ้วน ทำให้พนักงานขายหน้าร้าน ขายสินค้าได้ง่ายขึ้น และให้ข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้นอีกด้วย
3. Design : ชั้นวางสินค้า สวยสะดุดตา โดดเด่น เหมาะสมกับการใช้งาน
นอกเหนือไปจากการเพิ่มพื้นที่การขายนอกจากบนชั้นวางสินค้าหลักแล้ว อีกจุดประสงค์หนึ่งของการมีชั้นวางสินค้าเพิ่มเติม คือการที่ได้ออกแบบพิเศษ ให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง และนับเป็นพื้นที่สื่อสารแบรนด์ของเราให้มากขึ้น ทำให้ดึงดูด ลูกค้า เดินเข้ามาเลือกชมสินค้าของแบรนด์เรา และปิดการขายได้ อาจมีการใช้สี หรือรูปร่าง ที่โดดเด่นกว่าคู่แข่ง มีการใช้กลไกเคลื่อนไหว ไฟสว่าง มีเสียงโฆษณา ออกแบบให้สวยโดดเด่น ตัวอย่างเช่น สินค้าประเภทเครื่องสำอาง อาจทำ Secondary display ขั้นวางสินค้า แสตนดี รูปร่างเป็นลิปสติก เดินไฟให้โดดเด่น ดึงดูดให้ลูกค้าเดินเข้ามาดู เมื่อเดินเข้ามาดูแล้วมี เทรย์ เทสเตอร์ (Trays & Testers) ให้ลูกค้าได้หยิบจับทดลอง บริเวณหัวป้าย มีการสื่อสารแบรนด์ที่บอกโปรโมชัน ราคา ชัดเจน เป็นต้น
4. Quality : คุณภาพของสินค้า และชั้นวางสินค้า ดี แข็งแรง คงทน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณภาพ เป็นปัจจัยที่ลูกค้าให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆในการเลือกซื้อ นอกจากคุณภาพของสินค้าแบรนด์เราแล้ว คุณภาพของชั้นวางสินค้าที่แข็งแรง คงทน ก็บ่งบอกถึงความใส่ใจของแบรนด์เช่นกัน ชั้นวางสินค้า ชั้นโชว์สินค้าที่ใช้ ควรมีความแข็งแรง คงทน ออกแบบได้เหมาะสมกับการใช้งานผลิตภัณฑ์นั้นๆ และช่องทางการจัดจำหน่ายนั้นๆ อย่างแท้จริง
5. Functional & Planogram : การจัดเรียงที่เหมาะสม สวยงาม หยิบใช้ได้ง่าย
นอกจากชั้นโชว์สินค้า ชั้นวางสินค้า ที่มีคุณภาพ สวยงามแล้ว การจัดเรียงสินค้าก็สำคัญไม่แพ้กัน ชั้นโชว์สินค้า ที่ออกแบบอย่างดี จะต้องพิจารณาถึงการจัดเรียงสินค้าที่เหมาะสม การสื่อสารของแบรนด์ เพื่อประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับจากการเยี่ยมชมในครั้งนี้ (Brand Experience) ตัวอย่างเช่น การจัดเรียงในแต่ละชั้นที่เรียงตามสีที่โปรโมท เรียงตามการใช้งาน หาสินค้าได้ง่าย หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีข้อมูลเยอะ (Complex product) อาจเพิ่มกล่องใส่โบรชัวร์ (Brochure Box) ให้ความรู้ผลิตภัณฑ์ ไว้บนเชลฟ์ด้วย
บริษัทจักรวาล อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบและผลิต ชั้นวางสินค้า ชั้นโชว์สินค้า ดิสเพลย์ ทุกประเภท ทุกวัสดุ และทุกรูปแบบ ให้แก่บริษัทชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ ด้วยประสบการณ์ที่ส่งต่อจากรุ่น สู่รุ่น มากว่า 40 ปี และทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ตรง เกี่ยวกับการตลาด ในช่องทางการขายต่างๆ เราเข้าใจความแตกต่างในการขายสินค้าในแต่ละชนิด ที่มีกลยุทธ์การขายที่ไม่เหมือนกัน พร้อมที่จะรับฟังและเป็นที่ปรึกษาทางด้านชั้นโชว์สินค้า และผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาโรงงาน ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับแบรนด์สินค้าของคุณ เพื่อให้กับธุรกิจของคุณเติบโต ให้มีความโดดเด่นกว่าคู่แข่ง และสร้างแบรนด์สินค้าได้อย่างยั่งยืน